ครั้งที่ 5 วันที่ 13 กรกฎาคม 2555
วิชา การจัดประสบการณ์ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย EAED 2203
เวลา 14.10 - 17.30 น.
ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานในรูปแบบวิดีโอ
ค้นคว้าเพิ่มเติม
พัฒนาการทางร่างกาย ของเด็กอายุ
3 ปี
พัฒนาการด้านร่างกายของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่าง รวดเร็ว
โดยเฉพาะเรื่องความสูงและน้ำหนัก การเพิ่มของ
น้ำหนักเกิดจากการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ
ในตอนต้นของวัยนี้
สัดส่วนของร่างกายเปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับผู้ใหญ่มากขึ้น
ทำให้สามารถกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวดีขึ้น เด็กจึงชอบวิ่ง กระโดด
ไม่หยุดนิ่ง การหยิบจับและการช่วยเหลือตนเอง
สามารถควบคุมและบังคับการทรงตัวได้ดี ทำให้เด็กวัยนี้
พร้อมที่จะทำกิจกรรมเกี่ยวกับการออกกำลัง การเล่นกลางแจ้ง
การใช้มือก็มีความละเอียดขึ้น เด็กสามารถแต่งตัวเองได้ หวี ผม
แปรงฟันได้เอง และสามารถช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้
เราจะเห็นว่าเด็กในวัยนี้มีการพัฒนาด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กดังนี้
กล้ามเนื้อมัดใหญ่
-
ยืนขาเดียวได้นานขึ้น
-
ปีนป่ายบันไดและเครื่องเล่นกลางแจ้ง
-
เดินลงบันไดแบบสลับขา
-
วิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้
-
ถีบจักรยาน 3 ล้อได้
-
วิ่งไปเตะลูกบอลได้โดยไม่ต้องหยุดเล็ง
-
วาดรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
-
วาดรูปคนที่มีส่วนต่างๆได้ 3 ส่วน
-
ร้อยลูกปัดขนาดเล็กได้
-
เลียนแบบการทำสะพานได้
-
ตัดกระดาษกรอบรูปได้
เด็กจะเริ่มเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เฝ้าในการเล่น
ใช้พลังงานไปกับการเล่น จะรู้สึกดีที่ได้แสดงออกในสิ่งที่ตนต้องการ
เต็มใจลองของใหม่และสิ่งแปลกใหม่
พฤติกรรมของเด็กอายุ 3 ปี
ชอบตั้งคำถาม
เด็กในวัยนี้มีพัฒนาการทางภาษาค่อนข้างมาก
สามารถเล่าเรื่องเป็นประโยคยาวๆได้
ร้องเพลงง่ายๆได้ ทำให้มักชอบตั้งคำถาม
ช่างคิด ช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ
เริ่มช่วยเหลือตนเองได้ เช่น
รับประทานอาหาร แต่งตัว ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ
ด้วยตนเอง และยังชอบช่วยผู้ใหญ่ทำงานเล็กๆน้อยๆ
เราควรส่งเสริมให้เด็กเกิดความภูมิใจด้วยการชื่นชมในสิ่งที่เด็กทำ
และให้ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆด้วยตนเอง
เล่นกับเพื่อน มักจะเล่นอยู่ในกลุ่มเพื่อน 2-3 คน
ทำให้ได้เรียนรู้เงื่อนไขทางสังคมใหม่ๆที่นอกเหนือไปจากที่บ้าน
เริ่มบอกความแตกต่างระหว่างเพศได้ Piaget
นักจิตวิทยากลุ่มที่เน้นความรู้ความเข้าใจ (Cognitive) กล่าวว่า เด็ก
3-5 ขวบ
เรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมจากเพื่อนในโรงเรียนอนุบาลหรือเพื่อนบ้านวัยเดียวกัน
แต่เด็กวัยนี้ยังเข้าใจถึงความถูกต้องและความผิดไม่ลึกซึ้งนัก
มีจินตนาการ เด็กวัยนี้ชอบของเล่นที่ใช้ความคิด
หากได้เล่นจินตนาการ หรือแสดงบทบาทสมมุติจะเล่นได้เรื่อยๆ เช่น
พ่อแม่ ครู ตำรวจ
ซึ่งเด็กมักจะเล่นบทบาทสมมติเป็นบุคคลที่มีอำนาจในสายตาเด็ก
การเล่นบทบาทสมมติเป็นสิ่งที่เราควรส่งเสริมเพราะช่วยให้เด็กได้มีจินตนาการ
และเป็นการปลดปล่อย
บางครั้งเวลาที่ให้เด็กเล่าเรื่องอาจเป็นเรื่องจริงปนเรื่องสมมุติ
พ่อแม่และผู้ปกครองควรต้องระวังไม่ให้กลายเป็นติดนิสัยโกหก
โดยไม่ควรใช้วิธีดุว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง
แต่อาจใช้วิธีการทำให้เด็กรู้ว่ากำลังพูดเรื่องโกหก เช่น
คุณแม่ - ใครทำน้ำหก
หนูเล็ก- พี่แดงทำค่ะ
คุณแม่ - พี่แดงไปโรงเรียนแล้ว จ๊ะ หนูไปเอาผ้ามาเช็ด
วันหลังต้องอย่าวิ่งเวลาถือแก้วน้ำนะจ๊ะลูก
เจ้าอารมณ์
เด็กในวัยนี้มักแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผย เช่น โมโห
ไม่พอใจมักแสดงอาการกระทืบเท้า อิจฉาอะไรโดยไม่มีสาเหตุ
และกลัวอะไรอย่างสุดขีด
อาจเกิดจากสัญชาตญาณหรือระดับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น
ทำให้รู้ว่าสิ่งใดมีอันตรายในด้านพฤติกรรมนั้นผู้ใหญ่ควรเข้าใจว่าเด็กในวัยนี้มีจินตนาการสูง
และกำลังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้สังคมที่นอกเหนือไปจากที่บ้าน
ทำให้การแสดงออกของพฤติกรรมอาจไม่เหมาะสม
แต่จะต้องแยกตัวเด็กออกจากพฤติกรรมของเขา เช่น จะต้องบอกว่า
“ครูรักหนู แต่ครูไม่ชอบในสิ่งที่หนูทำ หนูทำแจกันแตกเป็นสิ่งที่ไม่ดี
มันทำให้เกิดอันตราย” แต่ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุก็ต้องอธิบายให้ฟังว่า
ไม่เป็นไรมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ คราวหน้าหนูควรทำอย่างนี้
และที่สำคัญครูควรต้องระวัง ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
ควรให้เด็กคิดถึงสิ่งที่เขาควรทำได้
สำหรับวัยนี้และจะต้องชมเชยเมื่อเด็กทำได้
ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเอง รวมทั้งเรื่องความคิด
การตัดสินใจ การสร้างทัศนคติที่ดี
ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีความสามารถที่จะทำได้
ทักษะสำคัญในการใช้ชีวิต ของเด็กอายุ 3
ปี
ทักษะที่ต้องเริ่มฝึกหัดและฝึกฝนให้ลูกก็คือสิ่งที่จำเป็นกับการดำเนินชีวิตของเขาในวัยปัจจุบัน
และจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาไปสู่ทักษะชีวิตที่ยากและซับซ้อนขึ้น
ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในอนาคตข้างหน้า
ความคล่องแคล่วชำนาญในทุกๆ พัฒนาการทางกาย
ที่จะเกิดขึ้นตามวัย เช่น เดิน วิ่ง กระโดดหยิบจับสิ่งของ ขีดเขียน การพูดจาสื่อสาร
ซึ่งเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมต่างๆส่งเสริมได้โดย : ให้ลูกได้เล่นออกกำลัง
เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อแขน-ขา มือ-นิ้วมือ ฝึกการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ การทรงตัว เช่น
พาไปเล่นในสนามเด็กเล่น เครื่องเล่นสนาม เคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี
เตะบอล ขี่จักรยาน 3 ล้อ ต่อบล็อก ปั้นแป้ง
- ให้ลองลงมือทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองบ้าง ตามวัยที่เขาทำได้
เช่น ให้ลองจับแปรงแปรงฟันเอง ล้างมือ ล้างหน้า กินอาหาร
ถอด-ใส่เสื้อผ้า รองเท้า เริ่มจากง่ายๆ ก่อนโดยทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
และอาจช่วยเหลือบ้างถ้าเห็นว่าลูกต้องการ
ระหว่างนี้สามารถวางแบบแผนที่ควรจะเป็นของกิจวัตรได้ด้วย เช่น
แปรงฟันตอนเช้า-ก่อนเข้านอน ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
ถอดรองเท้าวางเข้าที่ เป็นต้น
- จัดกิจกรรมที่เด็กจะได้สื่อภาษา เช่น ร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง
เล่านิทาน เล่นบทบาทสมมติ พูดคุยกับลูกให้มากในทุกๆ ช่วง ทุกๆ
กิจกรรมที่ได้อยู่กับเด็ก เช่น ขณะเล่น ขณะทำกิจวัตรประจำวัน
เพื่อให้เด็กได้เห็นตัวอย่างการใช้ภาษา ได้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ
และต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองใช้ภาษา
ด้วยการชวนคุยแบบตั้งคำถามและให้ความสำคัญกับการฟังในสิ่งที่เด็กพยายามสื่อสาร
สร้างทักษะชีวิต : การทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เช่น
ทำกิจวัตรประจำวันได้เอง ช่วยเหลือตัวเองได้
สามารถทำและสื่อสารให้ผู้อื่นรู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้
สิ่งเหล่านี้จะพัฒนาไปสู่ความเชื่อมั่น และการเห็นคุณค่าในตัวเอง
ถ้ายิ่งมีโอกาสทำอะไรด้วยตัวเองบ่อยเท่าไร
โอกาสของการได้ลองผิดลองถูก ได้คิดวิเคราะห์
แก้ปัญหา ตัดสินใจในระหว่างที่ทำกิจกรรมเหล่านี้นั้นก็จะมีมากขึ้น
ความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจก็จะสะสมมากขึ้นเป็นวงจรเรียนรู้
ที่มีแต่ได้กับได้ นอกจากนี้เด็กๆ ที่ช่วยเหลือตนเองได้มาก
จะเป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบและปรับตัวง่ายด้วย
ความชำนาญ ในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง
5
เด็กๆ ต้องได้ฝึกทักษะการใช้สายตา
การรู้จักแยกแยะกลิ่น เสียง การลิ้มรสและสัมผัสที่แตกต่าง ส่งเสริมได้โดย : การจัดหนังสือ
ของเล่นที่จะกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสครบทุกด้าน เช่น
ของเล่นที่มีสีสัน มีเสียง เคลื่อนไหวได้ หรือแม้แต่การเล่นจ๊ะเอ๋
ซ่อนหาสิ่งของ เล่นทราย กิจกรรมทดสอบประสาทสัมผัส
หนังสือสีสันสดใสมีรูปแบบน่าสนใจ เช่น หนังสือภาพ หนังสือ pop up
เป็นต้น
- จัดสิ่งแวดล้อมให้หลากหลายและน่าสนใจ
ที่ช่วยเร้าความสนใจในการเข้าไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ทั้งภายในบ้าน
รอบบ้านหรือการพาลูกไปเที่ยวที่ต่างๆ และชี้ชวนให้ลูกสังเกต ลงมือทำ
สัมผัสกับของจริง หรือแม้แต่การจัดเมนูอาหารที่หลากหลาย
ที่สำคัญไม่ต้องสกัดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็กด้วยการละเลยคำถาม
หรือตอบอย่างดุดันรำคาญ โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปี
ที่เด็กเป็นเจ้าหนูจำไมชอบซักถาม
สร้างทักษะชีวิต : เด็กจะได้รู้จักโลกรอบๆ ตัว ทั้งสัตว์ สิ่งของ
ผู้คน สถานที่ ฯลฯ สั่งสมเป็น
ฐานข้อมูลในการเรียนรู้เรื่องต่างๆ นำไปสู่ความเป็นคนช่างสังเกต
ช่างคิด วิเคราะห์ สามารถแยกแยะความแตกต่างของสิ่งรอบตัวได้
และเมื่อความอยากรู้อยากเห็นได้รับการตอบสนองอยู่เรื่อยๆ
ลูกจะกลายเป็นเด็กที่มีความกระหายใคร่รู้ กระตือรือร้นกับสิ่งใหม่
อยากรู้อยากลอง
ทักษะในการสัมพันธ์กับผู้อื่น
โดยการเรียนรู้วิธีสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสมส่งเสริมได้โดย : โอบกอด สัมผัส ให้ความรัก ดูแลและปฏิบัติต่อเด็ก
บุคคลอื่น หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงด้วยท่าทีอ่อนโยน
พูดจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เป็นการให้แบบของการแสดงออกทั้งกิริยาและคำพูดที่เหมาะสม
-
ดูแลเด็กโดยใช้เหตุใช้ผลผ่อนปรนตามความต้องการของลูกบ้างในบางเรื่อง
เพื่อให้เริ่มเรียนรู้ที่จะแยกแยะสิ่งที่ควรและไม่ควร
และเห็นวิธีการจัดการกับความไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ
เป็นฐานของการคิดวิเคราะห์หาเหตุผล
การแก้ปัญหาและการสร้างสรรค์ปรับเปลี่ยนหาวิธีที่ดีที่สุด
-
พาไปร่วมกิจกรรมที่ต้องสัมพันธ์กับคนอื่นและให้ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนอกบ้าน
เช่น เมื่อไปซื้อของ เวลาที่เข้าแถวรอจ่ายเงินหรือทำธุระต่างๆ
ให้เด็กได้อยู่ร่วมในบรรยากาศแบบนี้บ้าง
ระหว่างรอก็เล่าให้รู้ว่ากำลังทำอะไร ทำไมจึงต้องรอ
ถ้าทำเป็นประจำเด็กจะค่อยๆ ซึมซับและเรียนรู้วัฒนธรรมของการเข้าคิว
รู้จักรอคอย และเคารพสิทธิ์ผู้อื่น
- ให้เรียนรู้บทบาทของการเป็นผู้ให้ ผู้รับ เช่น เทศกาลต่างๆ
ก็พาลูกไปช่วยเหลือ ช่วยเตรียมของขวัญให้ญาติ เพื่อน
หรือให้เด็กเป็นคนมอบของขวัญนั้น หรือการซื้ออาหารให้สัตว์ตามสวนสัตว์
การให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่บ้าน
ก็เป็นกิจกรรมที่เป็นฐานไปสู่การรู้จักคิดถึงผู้อื่น
การมีน้ำใจได้
ทักษะทางด้านอารมณ์
คนที่มีทักษะทางอารมณ์ที่ดี
คือคนที่รู้จักและเท่าทันอารมณ์ตัวเอง จัดการกับ อารมณ์ตัวเองได้
เกิดขึ้นได้จากความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย และการมีอารมณ์มั่นคง ส่งเสริมได้โดย : เลี้ยงดูด้วยความรัก ความเข้าใจ โอบกอด
สัมผัสอย่างสม่ำเสมอ จะเกิดเป็นความไว้วางใจ
เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นที่รัก ไม่ถูกทอดทิ้ง
เป็นฐานของการเห็นคุณค่าในตัวเอง
- สนใจและให้อิสระเด็กได้ทำในสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่สนใจ
โดยให้เด็กคิด เลือกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
โดยให้คำแนะนำให้การสนับสนุนและชื่นชม
ก็จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่สนใจ ยอมรับจากคนที่เขารัก
ก็เกิดเป็นความมั่นใจ เห็นคุณค่าตัวเอง อารมณ์มั่นคง
- จัดของเล่น กิจกรรมที่ลูกได้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ เช่น
เล่านิทาน การฟังเพลง การเล่นจินตนาการกับตุ๊กตา ของเล่นต่างๆ
การทำงานศิลปะ ทั้งที่เล่นคนเดียว เล่นรวมกับพ่อแม่หรือคนอื่นๆ
หรือจะเป็นของเล่นหรือกิจกรรมที่เด็กจะได้ใช้สมาธิจดจ่อ เช่น
เกมต่อภาพ ต่อบล็อก แป้งปั้น ร้อยลูกปัดก็ช่วยสร้างอารมณ์ที่มั่นคงได้
แม้แต่วิธีการเล่นของเล่นทีละ 1 อย่าง
เล่นแล้วเก็บแล้วค่อยหยิบของเล่นชิ้นใหม่มาเล่น
วิธีนี้สอนได้ทั้งเรื่องวินัยและสมาธิ
การจดจ่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เด็กได้
และสิ่งนี้ยังเป็นฐานของการพัฒนาไปสู่ความมุมานะ
พยายามตั้งใจได้อีกด้วย
ธรรมชาติของเด็กและเยาวชนคือ
การอยากเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
ประกอบกับในยุคสมัยนี้มีเครื่องมือสื่อสารต่างๆ
ที่สามารถเข้าถึงเด็กและเยาวชนได้ง่ายและรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตหรือเกมออนไลน์
ทำให้เยาวชนขาดความระมัดระวังในการเลือกรับสื่อเหล่านี้
และบางคนอาจจะเลือกรับสื่อที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งจะส่งผลทางลบต่อตัวเด็กและเยาวชนได้อีกด้วย
จิตวิทยาของเด็กอายุ 3 ปี
ในวัยนี้เป็นช่วงที่เด็กมีสมรรถภาพทางกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสดีมากขึ้น
เด็กเริ่มที่จะเคลื่อนไหว ต้องการสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว Erik H.
Erikson กล่าวว่า ในวัยนี้เป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ช่างซักถาม เป็นเจ้าหนูจำไม
ซึ่งผู้ใหญ่ควรโต้ตอบให้ความรู้กับเด็กเพราะจะส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก
เด็กจะคิดใหม่ พูดใหม่ ทำอะไรใหม่ๆ ทุกวัน ระบบความจำและสมาธิดีขึ้น
และเป็นวัยที่มีจินตนาการสูง มีความคิดแบบที่ยึดเอาตนเองเป็นหลัก
และคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีชีวิตมีความรู้สึก เช่น
ต้นไม้ร้องไห้ถ้าโดนตัด เป็นต้น แต่ก็จะเริ่มลดลงในช่วงหลัง
ให้เหตุผลง่ายได้ๆ
จินตนาการบางอย่างของเด็กนั้นผู้ใหญ่ต้องคอยดูและแยกแยะระหว่างความจริงกับจินตนาการให้เด็กเพื่อไม่ให้เด็กติดนิสัยโกหก
ในขณะเดียวกัน
พ่อแม่ต้องสนับสนุนให้เด็กได้สร้างสรรค์จินตนาการของตนเองอย่างเหมาะสม
เช่น มีของเล่นที่สามารถใช้เล่นบทบาทสมมติได้ ตุ๊กตามือ หรือนิทานต่าง
ๆ
ซึ่งเด็กที่ได้รับการส่งเสริมเต็มที่จะกลายเป็นคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
การเล่นบทบาทสมมติเป็นการช่วยระบายความกลัว เช่น เด็กกลัวหมอฟัน
การเล่นบทบาทสมมติเป็นหมอฟันอาจช่วยลดความกลัวตรงนี้ได้
แต่ผู้ใหญ่ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นว่าเด็กกลัวฝังใจ
นอกจากนั้นการเล่นบทบาทสมมติยังพัฒนากระบวนการคิดเป็นขั้นตอน
การให้เด็กได้ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ และพ่อแม่ต้องรู้จัก “ชม”
อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการเสริมแรงให้ลูกกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป
หากเด็กทำผิด ก็ต้องลงโทษอย่างเหมาะสมเช่นกัน
แต่การลงโทษนั้นไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมถาวรเท่ากับการเสริมแรงด้วยการชม
นอกจากนี้
ในวัยนี้เป็นวัยที่เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบโดยจะมีการเลียนแบบพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกันซึ่งเป็นการเรียนรู้บทบาททางเพศ
Albert Bandura กล่าวว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต
หรือเรียนรู้จากตัวแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบบที่เป็นบุคคลจริง ๆ เช่น
พ่อแม่ เพื่อน ครู หรือตัวแบบเชิงสัญลักษณ์ เช่น ตัวละครในโทรทัศน์
ตัวการ์ตูน หากตัวแบบใดทำพฤติกรรมแล้วได้รับรางวัล
ตัวเด็กก็มีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมนั้นๆ ตามตัวแบบที่ได้รับรางวัล
จริยธรรมของเด็กในวัยนี้จะเริ่มพัฒนาแต่จะพัฒนาจาก ตัวแบบ การลงโทษ
การให้รางวัล และการสั่งสอน การเล่นของเด็กนั้นเด็กจะมีกลุ่มเพื่อนอาจจะสองถึงสามคน
ซึ่งการเล่นเป็นกลุ่มนี้ช่วยให้เด็กเรียนรู้กฏเกณฑ์
รู้จักสร้างกฎและทำตามกฎ การปรับตัวและการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น
เป็นการเพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
และการเล่นเป็นกลุ่มนี้ยังช่วยลดความคิดที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของเด็กด้วย
เพราะเมื่อเล่นกับคนอื่น เด็กย่อมต้องรู้จักการปรับตัว
และหัดมองในมุมของคนอื่นเพื่อตนเองสามารถเป็นส่วนหนึ่งและเล่นร่วมกับคนอื่นได้
นอกจานั้นยังทำให้เกิดการเลียนแบบกันเองด้วยหากพ่อแม่ ผู้ปกครองให้การสนับสนุนที่ดีแก่เด็กได้
เด็กในวันนี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า